FAQ คำถามที่พบบ่อย

ไม่พบข้อมูลที่คุณกำลังมองหาใช่หรือไม่? ลองตรวจสอบหัวข้อคำถามที่พบบ่อยจากผู้ปกครองและนักเรียนคนอื่นๆ ที่ FindingSchool ได้รวบรวมไว้
การเลือกโรงเรียน
กระบวนการสมัครเรียนในระดับมัธยมศึกษาของสหรัฐฯ การเลือกโรงเรียนมีความสำคัญเพียงใด? และเราควรประเมินโรงเรียนอย่างไร?
การเลือกโรงเรียนมัธยมศึกษาถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดสำหรับนักเรียนต่างชาติที่สมัครเรียนในสหรัฐฯ วิธีการเลือกโรงเรียนที่เหมาะสมสำหรับลูกของคุณในระดับมัธยมศึกษา คือการสำรวจและหาข้อมูลโรงเรียนที่หลากหลายและค้นหาลักษณะเด่นของแต่ละแห่งเพราะทุกโรงเรียนมีข้อกำหนดที่แตกต่างกัน และคุณควรเข้าใจและปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านี้เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าศึกษา นอกจากนี้ผู้ปกครองควรพิจารณาวิสัยทัศน์และเป้าหมายของครอบครัวตนเองและลูกในสี่ปีข้างหน้า รวมถึงประเมินคุณสมบัติบุตรหลานของท่าน: ความสนใจและความตั้งใจของนักเรียน นิสัย บุคลิกภาพ ความสามารถทางวิชาการ ศิลปะ และ กีฬา เพื่อที่จะเตรียมสมัคร หลังจากตัดสินใจและคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ๆแล้ว นักเรียนควรเตรียมตัวสำหรับข้อสอบแอดมิชชั่นเพื่อให้ได้คะแนนที่เหมาะสม พร้อมกับเสริมพื้นฐานวิชาการในวิชาสำคัญ ตลอดจนเตรียมเอกสารส่งโรงเรียนให้ครบถ้วนเช่น หลักฐานของกิจกรรมเสริมนอกหลักสูตร
เราควรพิจารณาปัจจัยใดบ้างในการเลือกโรงเรียน ทั้งปัจจัยหลัก ปัจจัยรองและปัจจัยใดที่ควรให้ความสำคัญ?
โปรดจำไว้ว่าสถานการณ์ของแต่ละครอบครัวไม่เหมือนกัน ปัจจัยสำคัญสำหรับครอบครัวหนึ่งอาจไม่สำคัญสำหรับอีกครอบครัวก็เป็นได้ ทาง Finding School จึงแนะนำให้ผู้ปกครองและนักเรียนพิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบและระมัดระวัง รวมถึงไม่เน้นพิจารณาเพียงแค่ปัจจัยหรือเกณฑ์เดียว เพราะข้อกำหนดหรือเกณฑ์ต่างๆ ควรได้รับการพิจารณาให้ครบถ้วนก่อนตัดสินใจ ทั้งนี้เมื่อทำการประเมินแล้ว นักเรียนอาจค้นพบโรงเรียนที่เหมาะสมในทันทีหรือนำผลการประเมินไปเป็นกลยุทธ์ต่อยอดการค้นหาโรงเรียนเพื่อให้ได้ตัวเลือกที่เหมาะสมมากยิ่งขึ้น เช่น การจัดอันดับของโรงเรียน หรือจำนวนความก้าวหน้าทางวิชาการ ฯลฯ อาจไม่ได้สำคํญเท่าเกณท์อื่นๆ ขึ้นกับความต้องการหรือมุมมองของแต่ละครอบครัว เราขอแนะนำเพิ่มเติม ถ้าเป็นไปได้ ควรพบปะกับครอบครัวจากโรงเรียนต่างๆ เพื่อเรียนรู้ประสบการณ์และมุมมองของพวกเขา ควรอ่านรีวิวจากนักเรียนที่เคยใช้บริการการประเมินเข้าเรียนมาแล้ว ควรค้นหาบทความที่นักเรียนปัจจุบันเขียน เพื่อประเมินประสบการณ์ของพวกเขาและเปรียบเทียบกับความคาดหวังของคุณ อ่านรีวิวจากผู้ปกครองและ วิเคราะห์การรีวิวนั้นๆ เพื่อที่คุณจะสามารถสรุปประเด็นสำคัญรวมไปถึงตีกรอบตัวเลือกโรงเรียนได้ชัดขึ้น และใช้เป็นมาตรฐานในการเลือกโรงเรียนที่มีลักษณะคล้ายกัน โดยรวมโรงเรียนประจำที่มีชื่อเสียงหลายแห่งสามารถตอบสนองความต้องการของนักเรียนในช่วงมัธยมศึกษาได้อยู่แล้ว ถือว่าการเลือกโรงเรียนควรเป็นไปตามเกณท์ความต้องการส่วนตัวที่ครอบครัวและผู้เรียนคิดว่าสำคัญเพราะมีโรงเรียนหลากหลายที่ดี
เราจะประเมินคุณภาพทางวิชาการของโรงเรียนได้อย่างไร?
คุณภาพการสอนของโรงเรียนสามารถตรวจสอบได้ในหลายด้าน อันดับแรก ควรพิจารณาคุณสมบัติของครู รวมถึงสัดส่วนครูที่มีปริญญาโทหรือปริญญาเอก และความเข้มงวดของหลักสูตรวิชาการของโรงเรียน อันดับสอง ควรพิจารณาวิชาหลักสูตรและชมรมคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และคอมพิวเตอร์ รวมถึงความสำเร็จของชมรมที่เข้าร่วมการแข่งขัน อันดับสาม ควรพิจารณาเกี่ยวกับสถานะของศิษย์เก่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เช่น อัตราการสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดัง และคะแนน SAT อันดับ 4 ควรประเมินสิ่งอำนวยความสะดวกและสื่อการเรียนการสอนของโรงเรียน วิธีสอน โปรแกรมที่สอน (เช่น หลักสูตร AP หากมี) โครงงานวิชาการด้านต่างๆ และกิจกรรมการเรียนเช่น การเยี่ยมห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์เป็นต้น อันดับที่ 5 หลักสูตรการเรียนการสอน คอร์สล่วงหน้า (advanced courses) ถ้ามีคอร์สเหล่านี้ ก็ให้พิจารณาต่อไปถึงสื่อการเรียนการสอนและคอร์สฝึกอบรมที่ใช้ในหลักสูตร
เราสามารถใช้ตัวชี้วัดและปัจจัยใดในการประเมินกีฬา/กิจกรรมนอกหลักสูตรของโรงเรียน?
กีฬาและกิจกรรมนอกหลักสูตรของโรงเรียนอาจขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น สิ่งอำนวยความสะดวกด้านกีฬา ความถี่ของกิจกรรม การจัดการกิจกรรม และข้อกำหนดในการเข้าร่วมชมรมหรือการแข่งขัน บางโรงเรียนกำหนดให้นักเรียนเข้าร่วมกีฬาอย่างน้อยหนึ่งชนิดต่อฤดูกาลแข่งขันในขณะที่บางโรงเรียนอาจมีแนวทางอื่น โรงเรียนที่เน้นให้ความสำคัญด้านกีฬาควรได้รับการสนใจเป็นอันดับต้นๆ เพราะถือว่ามีวัฒนธรรมด้านกีฬาที่ดีและมักส่งเสริมให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมนอกหลักสูตร ถือว่าดีมากเพราะให้ความสำคํญของการเรียนอย่างรอบด้านไม่ใช่แค่ทางวิชาการเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ผู้ปกครองควรตรวจสอบผลงานของทีมกีฬาด้วย เช่นทีมโรงเรียนนี้เล่นกีฬาเก่งไหม มีการเข้าร่วมการแข่งขันจำนวนเท่าไหร่ประสบความสำเร็จหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน เช่น กีฬาฮอกกี้ ทีมของโรงเรียนนั้นๆ เข้าร่วมการแข่งขันกี่รายการ และชนะการแข่งขันกี่รายการ เป็นต้น เช่นเดียวกัน ในส่วของด้านศิลปะมัลติมีเดียและการแสดง ให้พิจารณาถึงความหลากหลายของหลักสูตรและเกณฑ์การจบการศึกษาด้วย ยกตัวอย่างโรงเรียน Concord Academy มีผลงานด้านศิลปะที่โดดเด่น มีมาตรฐานสูงในด้านนี้ และเปิดโอกาสมากมายให้นักเรียนทำกิจกรรม เช่น เปียโน การแสดงดนตรี ศิลปะทัศนศิลป์เช่นการวาดรูป ระบายสีนำ้ หรือการถ่ายภาพ กิจกรรมนอกหลักสูตรที่หลากหลายช่วยให้นักเรียนมีทักษะรอบด้าน ทั้งด้านคุณธรรมจริยธรรม สติปัญญาที่ดี ร่างกายที่แข็งแรง มีสุนทรียภาพ/ศิลปะและความอุตสาหะ ในท้ายที่สุดแล้วเมื่อพิจารณาด้านทักษะกีฬาและศิลปะโรงเรียนที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีกว่ามักมีความโดดเด่นในเรื่องกีฬาและศิลปะ
ในกระบวนการเลือกโรงเรียน จะพิจารณาโรงเรียนชายล้วน หญิงล้วนหรือโรงเรียนสหศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร? ข้อดีและข้อเสียของแต่ละประเภทคืออะไร และเจะรู้ได้อย่างไรว่าโรงเรียนแบบไหนเหมาะสมกับบุตรหลานของท่าน?
โดยทั่วไป พ่อแม่ชาวอเมริกันมักจะส่งลูกเล็กไปเรียนที่โรงเรียนแยกชายหญิง โดยคาดหวังว่า โรงเรียนจะมีการออกแบบหลักสูตรเป็นพิเศษ เพือลดผลกระทบจากอิทธิพลของเพศตรงข้าม ซึ่งจะทำให้เด็กๆ ได้ค้นหาและเรียนรู้ศักยภาพของตัวเองได้อย่างอิสระ นี่อาจจะเป็นที่ ที่ดีกว่าสำหรับนักเรียนที่ไม่ค่อยแสดงออก มีปฎิสัมพันธ์กับคนรอบตัวน้อย เพราะว่าโรงเรียนหญิงล้วนมีส่วนช่วยพัฒนาปรับปรุงทักษะด้านนี้ของนักเรียนมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ปกติโรงเรียนแยกชายหญิง จะมีโรงเรียนพาร์ทเน่อร์ ที่จะมีกิจกรรมที่หลากหลายในช่วงสุดสัปดาห์หรือช่วงเวลาว่างหลังเลิกเรียนเพื่อให้นักเรียนได้มีโอกาสพบปะ เรียนรู้และทำกิจกรรมร่วมกัน ระหว่างนักเรียนชายและนักเรียนหญิง เหตุผลในการเลือกโรงเรียนแยกชายหญิง: เน้นศักยภาพของนักเรียน: หลักสูตรที่ออกแบบเฉพาะช่วยให้นักเรียนสำรวจศักยภาพของตนโดยได้รับผลกระทบอย่างน้อยจากเพศตรงข้าม ลดการแข่งขัน: โรงเรียนแยกชายหญิงอาจให้สภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันน้อยลงในบางเหตุ ซึ่งเหมาะกับนักเรียนที่ขาดความมั่นใจ พัฒนาทักษะเฉพาะ: ตัวอย่างเช่น โรงเรียนหญิงล้วนสามารถส่งเสริมความเป็นผู้นำและความมั่นใจผ่านกิจกรรมที่ออกแบบเฉพาะ การปฏิสัมพันธ์ทางสังคม: การเรียนในโรงเรียนแยกเพศอาจจำกัดโอกาสในการโต้ตอบกับเพศตรงข้าม แต่โรงเรียนเหล่านี้มักจัดกิจกรรมกับโรงเรียนคู่เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ความต้องการส่วนบุคคล: การตัดสินใจควรพิจารณาจากลักษณะนิสัยของนักเรียน โรงเรียนแยกเพศอาจเหมาะสมกับนักเรียนที่มีลักษณะเรียบร้อยหรือไม่ค่อยเข้าสังคมเท่าไหร่
จะเปรียบเทียบที่ตั้งของโรงเรียน เช่น มิดเวสต์กับชายฝั่งตะวันออกและตะวันตก เมืองกับชนบท หรือมหานครกับเมืองเล็ก ๆ ได้อย่างไร?
ปัจจัยที่ควรพิจารณาเมื่อเปรียบเทียบที่ตั้งของโรงเรียน: - การเดินทาง: พิจารณาความสะดวกในการเดินทาง และความถี่ที่นักเรียนต้องเดินทางไปยังเมืองหรือภูมิภาคอื่น - โรงเรียนโดยรอบ: ประเมินคุณภาพของโรงเรียนในบริเวณใกล้เคียง และทำความเข้าใจว่าพวกเขามอบสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ดีหรือไม่ ผู้ปกครองจำนวนมากชอบพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพราะมีโรงเรียนประจำชั้นนำและโอกาสในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับนักเรียนคนอื่นมากขึ้น - เมืองกับชนบท: แม้ว่าโรงเรียนในเมืองและชนบทจะมีข้อดีต่างกัน แต่ควรพิจารณาความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมโดยรวม - ภูมิภาค: ชายฝั่งตะวันออกมีชื่อเสียงด้านค่านิยมแบบดั้งเดิม วัฒนธรรม และความสำคัญทางวิชาการ ชายฝั่งตะวันตกมีบรรยากาศที่เปิดกว้างและให้ความสำคัญกับกิจกรรมกลางแจ้ง มิดเวสต์เป็นที่รู้จักในเรื่องจริยธรรมในการทำงาน ค่านิยมครอบครัว และค่าครองชีพต่ำ - มหานครกับเมืองเล็ก: โรงเรียนในมหานครมักมีทรัพยากรมากกว่า แต่โรงเรียนในเมืองเล็กอาจมีการเรียนรู้ที่เป็นส่วนตัวมากกว่า ที่ตั้งที่ดีที่สุดสำหรับลูกของคุณขึ้นอยู่กับลำดับความสำคัญและวิถีชีวิตของครอบครัว ไม่มีที่ตั้งที่ดีที่สุดแบบเดียว แต่ละพื้นที่และประเภทของโรงเรียนมีข้อดีและข้อเสียเฉพาะตัว
การพิจารณาสัดส่วนของนักเรียนนานาชาติจีนในโรงเรียนสำคัญแค่ไหน? และถ้ามีเกณฑ์ที่ต้องกำหนดไว้ คุณคิดว่าสัดส่วนเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม?
โรงเรียนหลายแห่งมีนักเรียนนานาชาติจากทั่วโลก โดยนักเรียนจากจีน อินเดีย เกาหลี และเวียดนามอาจมีสัดส่วนมากกว่าในบางโรงเรียน การมีนักเรียนนานาชาติสูงอาจสะท้อนถึงคุณภาพของโรงเรียนและความเป็นสากลของสภาพแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาว่าการมีสัดส่วนนักเรียนนานาชาติชาวจีนมากเกินไปอาจลดความหลากหลายในกลุ่มเพื่อนฝูงและการเรียนในบางกรณี หากต้องกำหนดเกณฑ์ สัดส่วนที่เหมาะสมสำหรับนักเรียนนานาชาติอยู่ที่ประมาณ 10% ถึง 30% โดยการมีนักเรียนนานาชาติในสัดส่วนสูงมีข้อดีด้วยคือทำให้เกิดสิ่งแวดล้อมที่หลากหลายในอีกแบบช่วยให้บุตรหลานท่านปรับตัวง่ายขึ้น และ บ่งบอกถึงชื่อเสียงโรงเรียนและความต้องการของครอบครัวนานาชาติ แต่ข้อเสียคืออาจเกิดการรวมกลุ่มชาวเอเชียมากเกินไป อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความสามารถในการสื่อสารและปรับตัวของนักเรียนเอง
คุณจะประเมินขนาดของโรงเรียนอย่างสมเหตุสมผลได้อย่างไร? ขนาดของโรงเรียนสัมพันธ์กับทรัพยากร/สิ่งอำนวยความสะดวกจริงหรือไม่? โรงเรียนที่มีนักเรียน 300 คนจะถูกพิจารณาว่าเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก 300 ถึง600 คนเป็นขนาดกลาง และ 600-1000 คนเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ถูกต้องหรือไม่?
ขนาดของโรงเรียนไม่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับทรัพยากรหรือสิ่งอำนวยความสะดวก โรงเรียนขนาดเล็กอาจใช้ทรัพยากรในเมืองใกล้เคียงเพื่อชดเชยสิ่งที่ขาดในโรงเรียน ในขณะที่โรงเรียนขนาดใหญ่อาจมีทรัพยากรหลากหลาย แต่การแข่งขันสูงอาจจำกัดโอกาสของนักเรียน ตัวอย่างเช่น Concord Academy ใกล้เมืองบอสตันใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในท้องถิ่น เช่น วงออร์เคสตรา การเต้นบัลเลต์ งานอาสาสมัครและวิทยาลัยศึกษาต่อเนื่องฮาร์วาร์ด { Harvard Extension School} เพื่อสนับสนุนนักเรียนเพียง 300 คน โรงเรียนที่มีจำนวนนักเรียนน้อยมักมีอาจารย์ที่เข้าใจความสนใจของนักเรียนแต่ละคนจึงช่วยให้พวกเขามีโอกาสเพิ่มขึ้นในการแข่งขันระดับชาติ เป็นการส่งเสริมให้เกิดความแข็งแกร่งในแต่ละคน แต่ท้ายที่สุดก็ขึ้นกับว่านักเรียนชอบบรรยากาศหรือสภาพแวดล้อมของโรงเรียนหรือไม่
ครอบครัวอุปถัมภ์สำหรับนักเรียน ที่เข้าเรียนในโรงเรียนแบบไปกลับสำคัญอย่างไร? เจะหลีกเลี่ยงหลุมพรางอย่างไร? คุณมีช่องทางอะไรบ้างในการทำความรู้จักหรือหาครอบครัวอุปถัมภ์?
ครอบครัวอุปถัมภ์มีบทบาทสำคัญในโรงเรียนไปกลับเดินเรียน เพราะพวกเขาสามารถมอบสิ่งแวดล้อมที่ดี สามารถสนับสนุนและช่วยให้บุตรหลานคุณปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมในประเทศใหม่ได้ ครอบครัวอุปถัมภ์ที่ดีสามารถช่วยให้นักเรียนมีสมาธิกับการเรียน และลดผลกระทบทางลบที่อาจเกิดจากครอบครัวที่ไม่เหมาะสม การหาครอบครัวอุปถัมภ์นั้นควรพิจารณาความต้องการของนักเรียนและทำงานร่วมกับโรงเรียนซึ่งมักมีระบบการจัดการอยู่แล้ว ควรระบุความต้องการอย่างชัดเจน เช่น มีพี่น้องที่อายุใกล้เคียงหรือเพศเดียวกัน มีห้องส่วนตัว ความสามารถของผู้ปกครองในการดูแลเด็ก ห การศึกษาและอาชีพของครอบครัวอุปถัมภ์ ควรมีอุปนิสัยใจคอที่ดี เป็นบ้านที่ปลอดบุหรี่ ระยะห่างจากโรงเรียนไม่เกิน 20 นาทีโดยการขับรถยนต์ หลังจากตัดสินใจเลือกครอบครัวอุปถัมภ์ได้แล้ว ควรมีการติดต่อกันผ่านทางวิดีโอคอลเพื่อทักทายและทำความรู้จักกันให้มากขึ้น และหากรู้สึกว่าไม่พึงพอใจสามารถปรึกษาโรงเรียนเพื่อเปลี่ยนครอบครัวอุปถัมภ์ได้
เมื่อทำการประเมินระดับวิชาการของโรงเรึยนแล้ว หลักสูตร AP สามารถใช้เป็นตัวชี้วัดคุณภาพการเรียนการสอนได้หรือไม่? และควรมองหลักสูตร AP ในโรงเรียนที่มีตัวเลือกจำกัดอย่างไร? มีปัจจัยอื่นๆ ที่ถูกมองข้ามหรือไม่
จำนวนหลักสูตร AP ที่โรงเรียนมี สามารถสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของโรงเรียนต่อการเรียนการสอนเชิงวิชาการที่มีคุณภาพ อย่างไรก็ตามถึงแม้จะมีหลักสูตรทางวิชาการจำนวนมากก็ไม่ได้หมายความว่าโรงเรียนนั้นๆ จะมีประสิทธิภาพ ควรพิจารณาคุณภาพของครูที่สอน พิจารณาเนื้อหาในหลักสูตรเหล่านี้ว่าถูกออกแบบไว้อย่างไร เช่น เป็นหลักสูตรที่มุ่งสู่การเข้าเรียนมหาวิทยาลัยหลักสูตรเกียรตินิยม(Honors)หรือไม่หรือเป็นหลักสูตรที่เป็นที่ยอมรับของมหาวิทยาลัยนานาชาติชั้นนำทั่วโลกไหม (IB) โดยทั่วไป โรงเรียนจะมีหลักสูตร AP อย่างน้อย 5 คอร์ส เหนือไปกว่านั้นการเลือกก็จะมีความจำเพาะเจาะจง โรงเรียนชั้นนำหลายๆ แห่ง ไม่มีหลักสูตร AP เยอะ เพราะพวกเขามีหลักสูตรที่เทียบเท่าหรือเหนือกว่า นักเรียนควรเลือก AP คอร์สที่ขึ้นกับความต้องการที่จะยื่นเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย บางคนเลือกเรียน AP หลายวิชาเพราะหวังจะใช้คะแนน AP ไปแลกเครดิตลดเวลาการศึกษาในมหาวิทยาลัย หรือเพื่อยื่นเข้ามหาวิทยาลัยก็ตาม แต่การเรียน AP หลายตัวเกินไปอาจเพิ่มความเครียดและทำให้คะแนนลดได้ เพราะฉะนั้นนักเรียนควรเลือกวิชาที่ตรงกับความสนใจที่จะใช้จริงๆ เพระา APs ไม่ใช่เรื่องของปริมาณแต่เป็นเรื่องของคุณภาพ เลือกให้ถูก เหมาะสมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและเพิ่มคะแนนเพื่อยื่นเข้ามหาวิทยาลัย
เอกสารการสมัคร
โรงเรียนประจำในสหรัฐฯ ต้องการเอกสารอะไรบ้างในการยื่นสมัครเข้าเรียน?
การสมัครเข้าโรงเรียนเอกชนในสหรัฐฯ มีระบบ 3 ประเภท คือ SAO, Gateway และ Ravanna SAO กำหนดให้นักเรียนต้องส่งเรียงความ 4 ฉบับ และผู้ปกครองต้องส่งเรียงความ 3 ฉบับ แต่ละโรงเรียนอาจต้องการเอกสารที่แตกต่างกัน Gateway อาจกำหนดให้ผู้ปกครองส่งเอกสารเพิ่มเติม ส่วนและเรียงความ 2-3 ฉบับ ปกติแล้วโรงเรียนส่วนมากจะกำหนดให้ส่งเรียงความอย่างน้อย 2-3 ฉบับ และอาจขอเอกสารเพิ่มเติมจากผู้ปกครองเช่นกัน
บางโรงเรียนต้องการให้ผู้ปกครองเขียนเรียงความ พวกเขาควรเขียนอะไรบ้าง? ควรเขียนเกี่ยวกับลักษณะเฉพาะ ความสามารถ รูปร่างหน้าตา หรือทัศนคติของเด็กผ่านเหตุการณ์ในชีวิตหรือไม่?
เด็กทุกคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว บทความของผู้ปกครองควรสะท้อนถึงลักษณะเฉพาะของเด็กและสอดคล้องกับใบสมัครของนักเรียน ระบบการสมัครของโรงเรียนมักระบุคำถามเฉพาะให้ผู้ปกครอง ยกตัวอย่างเช่น คุณคิดว่าอะไรคือ ความท้าทายที่สุดในชีวิตที่ลูกของคุณได้เผชิญมา จากคำถามลักษณะนี้ ผู้ปกครองควรกล่าวถึงวิธีรับมือกับความท้าทายของเขาและระบุว่าเขาได้เรียนรู้อะไรบ้างจากเหตุการณ์นั้นๆ ตัวอย่างอีกอัน คือ ผู้ปกครองสามารถพูดถึงประสบการณ์ที่ต้องการให้เด็กได้รับในระหว่างที่เรียนอยู่โรงเรียนนั้นๆ เช่น อาชีพ งานอดิเรก หรือทักษะต่าง ๆ จงจำไว้ว่า บทบาทหลักในฐานะผู้ปกครองในการเขียนบทความสมัครเรียนคือ การสื่อสารให้เห็นสภาพแวดล้อมของครอบครัวที่เด็กเติบโตขึ้นมา บรรยายถึงบุคลิกภาพของนักเรียนและเน้นยำถึงปรัชญาด้านการศึกษาของผู้ปกครอง อย่างเช่น ถ้าในใบสมัครของลูก กล่าวถึงว่า พวกเขาชอบวิชาการเขียนโปรแกรมและหุ่นยนต์และเคยได้รับรางวัลจากกิจกรรมเหล่านั้น บทความหรือเรียงความของพ่อแม่ควรมีการอธิบายให้เห็นภาพว่า ในฐานะผู้ปกครองคุณได้ส่งเสริม สนับสนุนลูกอย่างไรบ้าง อย่าเพียงแค่เขียนว่าลูกเก่งอย่างไร และยิ่งไปกว่านั้น บทความในระบบการยื่นสมัครมีการกำหนดขนาดของข้อความว่าไม่เกินกี่ตัวอักษร ดังนั้นต้องมีการเรียบเรียงบทความให้ดีก่อนที่จะเริ่มเขียนในระบบการรับสมัครของโรงเรียน ผลกระทบจากโรคระบาดโควิดอาจทำให้โรงเรียนสอบถามเกี่ยวกับการเรียนรู้ในช่วงนั้น ผู้ปกครองควรกล่าวถึงว่าลูกปรับตัวอย่างไร เช่น การเข้าสังคม หรือใช้เวลาร่วมกับครอบครัวในช่วงที่กิจกรรมลดลง บทความควรเน้นถึงบรรยากาศในครอบครัว และสนับสนุนเด็กในการตามหาความสนใจ เช่น หากเด็กสนใจการเขียนโปรแกรมและหุ่นยนต์ บทความของผู้ปกครองควรกล่าวถึงบทบาทในการสนับสนุนเด็กในด้านนี้
เรียงความควรถูกนำส่งก่อนหรือหลังสัมภาษณ์?
หากคุณสมัครเข้าโรงเรียนประจำชั้นนำในสหรัฐฯ คุณจะส่งตอนไหนก็ได้ แต่ควรส่งเรียงความและสมัครให้ทันกำหนด โรงเรียนจะไม่ตรวจสอบก่อนถึงกำหนด สำหรับโรงเรียนแบบไปกลับ บางโรงเรียนอาจจัดสัมภาษณ์หลังได้รับเอกสารครบถ้วน แต่บางแห่งสามารถจัดสัมภาษณ์ได้หลังได้รับข้อมูลพื้นฐาน
ต้องส่งผลการเรียนก่อนหน้าหรือไม่เมื่อต้องการสมัครเข้าโรงเรียนประจำในสหรัฐฯ?
โดยทั่วไป โรงเรียนประจำในสหรัฐฯ มักต้องการผลการเรียนย้อนหลัง 2.5 ปี (เช่น หากสมัครเข้าเกรด 9 ต้องส่งผลการเรียนก่อนเกรด 8) บางโรงเรียนอาจต้องการผลการเรียนของเกรด 8 หลังการประกาศผล แต่ไม่จำเป็นเสมอไป
หากลูกของฉันเผชิญแรงกดดันด้านการแข่งขันในโรงเรียนและมีผลการเรียนเพียงระดับปานกลาง และไม่สามารถเพิ่มเกรดเฉลี่ยได้ในเวลาอันสั้น จะมีผลต่อการสมัครเข้าโรงเรียนเอกชนในสหรัฐฯ อย่างไร?
ถ้าคุณต้องการเรียนต่อในโรงเรียนชั้นนำของสหรัฐฯ ก็จะถึอว่ามีความท้าทายเป็นอย่างยิ่งสำหรับคุณสมบัตินี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณจบจากโรงเรียนรัฐบาลทั่วไป ที่ไม่ใช่หลักสูตรนานาชาติแต่ก็ยังสามารถยื่นสมัครได้ ยกตัวอย่าง โดยการยืนคะแนน TOEFL และ SSAT นักเรียนบางคนยังมีการยื่นคะแนน PSAT และ SSAT ที่ได้คะแนนสูงๆ ก็ช่วยได้ ถ้าลูกของคุณมีความสามารถทางวิชาการระดับสูง พวกเขาก็สามารถยื่นสมัครเข้าโรงเรียนชั้นนำของอเมริกันที่มีการแข่งขันสูงๆ ได้ อย่างเช่น คะแนน SCAT จาก ค่ายถดูร้อน CTY ที่มหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกิ้นส์ หรือผลการแข่งขันระดับนานาชาติจัดโดย Mathematical Association of America (MMA) หรือสมาคมคณิตศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา -AMC8 หรืออื่นๆ โดยทั่วไป ถ้าเราประมาณการGPA แบบถ่วงน้ำหนัก ในระบบการสมัครของโรงเรียนสำหรับนักเรียนที่มีความเป็นเลิศในทักษะภาษาอังกฤษ อาจจะถ่วงน้ำหนักคิดเป็น 10% แต่ถ้าทักษะภาษาอังกฤษอยู่ในระดับกลาง การถ่วงน้ำหนักก็จะเพิ่มเป็น 30% การประเมินหลักๆจะมาจากใบสมัครที่ยื่นเข้ามา ซึ่งมีข้อจำกัดในการกรอกข้อความและอธิบาย ดังนั้น ทุกอย่างจึงขึ้นกับการสัมภาษณ์ที่ก็มีข้อจำกัดด้านเวลาเช่นกัน
ใบแสดงผลการเรียนจากโรงเรียนรัฐและโรงเรียนนานาชาติมีความแตกต่างในมุมมองของเจ้าหน้าที่รับสมัครหรือไม่?
ระบบการเรียนของโรงเรียนมัธยมในอเมริกาจะมีความคล้ายคลึงกับโรงเรียนนานาชาติ เมื่อมีการกรอกแบบฟอร์มการสมัคร หลายๆโรงเรียนจะแสดงชื่อเมืองในจีนโดยขึ้นกับข้อมูลการสอบเข้าสะสมของนักเรียน ถ้าเราพิจารณาเพียงแค่ใบแสดงผลการเรียน ระดับของโรงเรียนจะถูกประเมินด้วยหัวข้อและหลักสูตรแยกตามประเภท ใบแสดงผลการเรียนจากโรงเรียนรัฐและโรงเรียนนานาชาติมีความแตกต่างกัน เจ้าหน้าที่โรงเรียนในสหรัฐฯมักดูว่าโรงเรียนนั้นๆมีวิชาอะไรบ้างและมีคอร์สเรียนอย่างหลากหลายหรือเปล่าเพื่อเข้าใจเกณท์และเกรดของแต่ละโรงเรียน แต่โดยทั่วไปโรงเรียนมัธยมของรัฐมักเน้นผลการเรียนทางวิชาการการเรียนและ เพื่อสอบแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยแต่ในด้านอื่นอาจจะไม่โดดเด่น ดังนั้น โดยทั่วไป ใบแสดงผลการเรียนและจดหมายแนะนำตัวจากโรงเรียนรัฐจึงได้รับความสนใจน้อยในสายตาของผู้ประเมินในสหรัฐฯ กว่า เมือเปรียบเทียบกับผลการเรียนจากโรงเรียนนานาชาติในมุมมองของเจ้าหน้าที่รับสมัครในสหรัฐฯ
หากผลการเรียนในเกรด 7-9 อยู่ในระดับปานกลาง คะแนน TOEFL จะช่วยเพิ่มโอกาสสมัครโรงเรียนคุณภาพได้หรือไม่?
โดยทั่วไป GPA จะมีผลต่อตัวเลือกโรงเรียนที่นักเรียนเลือกสมัครการสมัคร แต่ระดับผลกระทบขึ้นอยู่กับผลกระทบในบริบทของ Chengdu (เฉิงตูคือ ชื่อเมืองในจีน) ถ้า GPA ถูกกระทบ เช่น ถ้าหากได้เกรด C ถือว่าเสียเปรียบชัดเจน แต่หากมีเกรด B บางวิชาก็ไม่เป็นปัญหา การสมัครเข้าโรงเรียนมัธยมในสหรัฐฯ ไม่ได้พิจารณาเพียง GPA และคะแนน TOEFL แต่จะพิจารณารวมถึงการสัมภาษณ์ เรียงความ และกิจกรรมนอกหลักสูตรด้วย ถ้านักเรียนแสดงความมั่นใจและจุดเด่นในระหว่างการสัมภาษณ์ รวมถึงการเข้าร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติอาจเพิ่มโอกาสเข้าเรียนได้
ต้องเตรียมจดหมายแนะนำตัวสำหรับการสมัครหรือไม่? ใครควรเป็นผู้เขียนจดหมายนี้?
การสมัครโรงเรียนประจำในสหรัฐฯ ต้องมีจดหมายแนะนำตัว 3 ฉบับ ได้แก่ จากครูวิชาภาษาอังกฤษ ครูคณิตศาสตร์ และครูประจำชั้นที่ปรึกษาหรือผู้อำนวยการโรงเรียน บางโรงเรียนอาจต้องการจดหมายเพิ่มเติมสำหรับทักษะเฉพาะ เช่น กีฬา ดนตรี หรือศิลปะ สำหรับจดหมายแนะนำตัวส่วนตัวสามารถมาจากบุคคลอื่นได้ ถ้าจดหมายแนะนำตัวนั้นช่วยส่งเสริมความสามารถในการสมัครเข้าเรียนของลูกคุณโรงเรียนบางแห่งอาจขอจดหมายจากที่ปรึกษาทางวิชาการด้วย แต่ถ้าโรงเรียนของลูกคุณไม่มีทรัพยากรด้านนี้และไม่มีจดหมายแนะนำดังกล่าว ก็อาจไม่ได้ผลมากในการยื่นสมัครเข้าเรียน ในกรณีที่ขาดแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ แต่การรับรองจากที่ปรึกษาการศึกษาอาจไม่ได้ผลมากนักในกรณีที่ขาดแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้
ฉันต้องใช้ใบรับรองดนตรีจากองค์กรในประเทศหรือต่างประเทศหรือไม่? ควรส่งวิดีโอการแสดงเพื่อสนับสนุนการประเมินหรือไม่?
ใบรับรองจากการแข่งขันระดับประเทศและนานาชาติมักไม่มีค่าเท่ากับความสามารถที่แสดงในผลงาน เจ้าหน้าที่รับสมัครโรงเรียนอาจขอวิดีโอการแสดงอาจถูกขอในบางกรณี หากคุณเชี่ยวชาญในเครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง ควรตรวจสอบว่าโรงเรียนที่คุณเลือกมีการเรียนการสอนเกี่ยวกับเครื่องดนตรีนั้นหรือไม่ เช่น ถ้านักเรียนเป็นแชมป์กูเจิงระดับประเทศ แต่โรงเรียนในอเมริกาไม่ได้มีการเรียนหรือสอนเครื่องดนตรีกูเจิง ก็ไม่จำเป็นต้องแนะนำตัวด้านนี้ หากโรงเรียนมีหลักสูตรที่เหมาะสม ควรจัดการพบกับเจ้าหน้าที่หรือครูดนตรีและจัดการประเมิน การแสดงความสามารถทางดนตรีอาจรวมถึงการเข้าร่วมกิจกรรมสังคม กิจกรรมจิตอาสา เช่น การแสดงดนตรีเพื่อให้ผู้ป่วยฟังหรือการเล่นดนตรีในโรงพยาบาล ตลอดจน หรือเข้าร่วมวงดนตรีของโรงเรียนเป็นต้น เพื่อแสดงให้เห็นถึงง ความรับผิดชอบทางสังคม ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ทักษะทางสังคมและการทำงานเป็นทีมไปด้วย
การสัมภาษณ์
ฉันจะเตรียมตัวสำหรับการสัมภาษณ์กับโรงเรียนมัธยมในสหรัฐฯ ได้อย่างไร?
ประเด็นนี้ค่อนข้างกว้างและแตกต่างกัน ในแต่ละสถานการณ์ของแต่ละบุคคลจะมีจุดโฟกัสต่างกัน โดยทั่วไป การเตรียมตัวสำหรับการสัมภาษณ์กับโรงเรียนในสหรัฐฯ ควรพิจารณาหลักสำคัญดังนี้: 1. การรู้จักตัวเอง: กลยุทธ์พื้นฐานคือการ วิเคราะห์ตัวเอง โดยต้องเข้าใจจุดแข็ง บุคลิกภาพของตนเอง เพื่อจะตอบคำถามได้อย่างมั่นใจและไม่หวาดหวั่น 2. ทำความรู้จักโรงเรียน:ในการเลือกโรงเรียนจะเป็นไปสองทางคือ ในส่วนของเจ้าหน้าที่รับสมัครก็คาดหวังที่จะได้นักเรียนที่พวกเขาชอบตรงตามคุณสมบัติ ส่วนอีกด้านก็คือ ความชอบของนักเรียนเองว่าชอบโรงเรียนแบบไหน ดังนั้น ในขณะสัมภาษณ์ต้องแสดงให้เห็นถึงความสนใจต่อความมุ่งหมายหรือพันธกิจของโรงเรียน วิสัยทัศน์ของโรงเรียน แล้วอธิบายให้ได้ว่าสอดคล้องกับความต้องการเข้าเรียนของคุณอย่างไร 3. การปรับทัศนคติ: การสัมภาษณ์คือ การทดสอบความแข็งแกร่งและความมั่นคงทางอารมณ์ ในการสัมภาษณ์ ควรรักษาความสงบ มั่นใจ และแสดงศักยภาพของตัวเองให้เต็มที่ เจ้าหน้าที่รับสมัครมักอยากทราบว่าคุณเป็นใคร คุณต้องการอะไรจากโรงเรียน หรือคุณมองเห็นตัวเองในอนาคตอย่างไร
การทดสอบ Vericant สามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการสมัครเข้าโรงเรียนเอกชนชั้นนำได้หรือไม่? ต้องสอบที่ไหนและฉันจะค้นหาข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างไร? ฉันควรส่งใบสมัครให้กับโรงเรียนใดเพื่อใช้ศักยภาพของฉันอย่างเต็มที่?
อันดับแรก คุณจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียน ก่อนการสัมภาษณ์ ควรเข้าร่วมการเยี่ยมชมแคมปัสแบบเสมือนจริงของโรงเรียนแต่ละแห่ง ตรวจสอบให้แน่ใจว่าอินเทอร์เน็ตของคุณมีความเสถียรและรวดเร็ว และทำความคุ้นเคยกับซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการสัมภาษณ์ Zoom มักเป็นแพลตฟอร์มที่ใช้บ่อยที่สุดในปีนี้ ตามด้วย Skype, Webex, WeChat และ Facetime คุณควรรู้ว่าโรงเรียนใช้ซอฟต์แวร์อะไร การทดสอบ Vericant เป็นการพูดสนทนากับผู้สัมภาษณ์ คำถามส่วนใหญ่จะไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการกรอกใบสมัครของนักเรียนแต่จะเกี่ยวกับวิถีชิวิตทุกอย่างของการเป็นนักเรียนในโรงเรียนนั้นๆ พอสัมภาษณ์เสร็จเรียบร้อย Vericant จะให้คะแนนเกี่ยวกับวิธีความคิดและวิธีการพูดคุยหรือว่าคุณลักษณะของนักเรียน และสิ่งที่สำคัญที่สุดในระหว่างการสัมภาษณ์คือการเล่าเรื่องราวของตัวเองให้ดีในระหว่างการสัมภาษณ์ การเตรียมตัวควรครอบคลุมหลายด้าน ได้แก่ ทำความรู้จักกับโรงเรียน เช่น หลักสูตร กิจกรรมชมรม กิจกรรมนอกหลักสูตร ศิลปะ กีฬา เป็นต้น ควรามตรงต่อเวลาไปสัมภาษณ์ : อย่าเข้าสู่ระบบในนาทีสุดท้าย ควรเข้าสู่ระบบล่วงหน้าเพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่รับสมัครต้องรอ การแต่งกาย: และควรแต่งกายให้เหมาะสม จัดห้องสัมภาษณ์ให้เรียบร้อย หลีกเลี่ยงผู้คนหรือสัตว์เลี้ยงที่ไม่จำเป็น และหลีกเลี่ยงสิ่งรบกวนระหว่างการสัมภาษณ์ เช่น ปิดโทรศัพท์หรือเปิดโหมดเครื่องบิน เนื่องจากเป็นการสัมภาษณ์ออนไลน์ ผู้ปกครองมักจะไม่ได้เข้าร่วมการสัมภาษณ์ด้วย แต่หากผู้ปกครองมีคำถาม สามารถติดต่อผู้สัมภาษณ์หลังจากเซสชันได้ หลังการสัมภาษณ์ อย่าลืมขอข้อมูลติดต่อของผู้สัมภาษณ์ ส่งจดหมายขอบคุณ และติดต่อกันหลังจากนั้น
ฉันควรเขียนจดหมายขอบคุณหลังการสัมภาษณ์หรือไม่?
การเขียนจดหมายขอบคุณหลังการสัมภาษณ์ไม่ได้มีผลต่อผลการสมัครมากนัก แต่ในสังคมอเมริกันถือเป็นการแสดงความสุภาพพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนหรือผู้สมัครงาน การแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจในจดหมายถือเป็นมารยาทที่ดี การเขียนจดหมายขอบคุณที่เน้นว่าคุณมองโรงเรียนนั้นเป็นตัวเลือกหลักอาจส่งผลบวกต่อการสมัครมากกว่า แต่หากเนื้อหาดูธรรมดาเกินไป ก็อาจเป็นเพียงการแสดงมารยาทขอบคุณเท่านั้น
ฉันควรจัดการสัมภาษณ์กับแต่ละโรงเรียนเมื่อใดและอย่างไร?
การกำหนดเวลาสมัครของแต่ละโรงเรียนจะแตกต่างกันไป เช่น บางแห่งกำหนดในวันที่ 15 ธันวาคม 15 มกราคม หรือ 31 มกราคม นอกจากนี้ยังมีการรับสมัครแบบ Rolling Admission แบบใครส่งใบสมัครมาก่อนจะได้รับการพิจารณาใบสมัครก่อน เป็นรอบๆ ไป สำหรับนักเรียน การจัดสัมภาษณ์ให้เร็วที่สุดเป็นสิ่งที่ควรทำเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา เช่น การจองล่าช้าหรือเวลาไม่ว่าง โรงเรียนประจำมักต้องการให้นักเรียนกรอกแบบฟอร์มขอสัมภาษณ์ ในขณะที่โรงเรียนไปกลับอาจต้องการให้นักเรียนเริ่มกรอกส่วนแรกของใบสมัคร หลังจากนั้น คุณก็สามารถจัดการสัมภาษณ์ผ่านช่องทางออนไลน์ โทรศัพท์ หรืออีเมลได้
ระยะเวลาของการสัมภาษณ์มีผลต่อผลการรับสมัครหรือไม่?
โดยทั่วไป การสัมภาษณ์จะใช้เวลาประมาณ 30 นาทีต่อคน หากการสัมภาษณ์สั้นผิดปกติ (เช่น ไม่เกิน 10 นาที) อาจแสดงถึงโอกาสรับเข้าเรียนน้อย อย่างไรก็ตาม ในกรอบเวลาปกติ (20-40 นาที) ระยะเวลาของการสัมภาษณ์ไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาด นักเรียนควรเน้นการแสดงความกระตือรือร้น ความสนใจในโรงเรียน และการนำเสนอตัวเองอย่างเต็มที่ ไม่ควรคิดมากเกี่ยวกับสถานการณ์หลังการสัมภาษณ์ แต่ควรมุ่งเน้นการเตรียมตัวสำหรับขั้นตอนถัดไป โดยการวิเคราะห์ประสิทธิภาพในการสัมภาษณ์ช่วยให้สามารถช่วยให้ปรับปรุงและเตรียมตัวในอนาคตได้ดีขึ้น
มีคำแนะนำอะไรสำหรับการสัมภาษณ์ออนไลน์ เช่น ฉันต้องแต่งตัวอย่างเป็นทางการหรือไม่? และในด้านอุปกรณ์เทคโนโลยี ควรใช้หูฟัง/ไมโครโฟน หรือใช้ลำโพงแทน?
อันดับแรก คุณจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียน ก่อนการสัมภาษณ์ คุณควรเข้าร่วมการเยี่ยมชมแคมปัสแบบเสมือนจริงของโรงเรียนแต่ละแห่งบนเวบไซต์ของเรา ตรวจสอบให้แน่ใจว่าอินเทอร์เน็ตของคุณมีความเสถียรและรวดเร็ว และทำความคุ้นเคยกับซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการสัมภาษณ์ Zoom มักเป็นแพลตฟอร์มที่ใช้บ่อยที่สุดในปีนี้ ตามด้วย Skype, Webex, WeChat และ Facetime ควรรู้ว่าโรงเรียนใช้ซอฟต์แวร์อะไร และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเล่าเรื่องราวของตัวเองให้ดีในระหว่างการสัมภาษณ์ การเตรียมตัวควรครอบคลุมหลายด้าน ได้แก่ ทำความรู้จักกับโรงเรียน เช่น หลักสูตร กิจกรรมชมรม กิจกรรมนอกหลักสูตร ศิลปะ กีฬา เป็นต้น ควรตรงต่อเวลาไปสัมภาษณ์ อย่าเข้าสู่ระบบในนาทีสุดท้าย ควรเข้าสู่ระบบล่วงหน้าเพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่รับสมัครต้องรอ และควรแต่งกายให้เหมาะสม จัดห้องสัมภาษณ์ให้เรียบร้อย หลีกเลี่ยงผู้คนหรือสัตว์เลี้ยงที่ไม่จำเป็น และหลีกเลี่ยงสิ่งรบกวนระหว่างการสัมภาษณ์ เช่น ปิดโทรศัพท์หรือเปิดโหมดเครื่องบิน เนื่องจากเป็นการสัมภาษณ์ออนไลน์ ผู้ปกครองมักจะไม่ได้เข้าร่วมการสัมภาษณ์ด้วย แต่หากผู้ปกครองมีคำถาม สามารถติดต่อผู้สัมภาษณ์หลังจากเซสชันได้ หลังการสัมภาษณ์ อย่าลืมขอข้อมูลติดต่อของผู้สัมภาษณ์ ส่งจดหมายขอบคุณ และติดต่อกันเป็นระยะหลังจากนั้น ความตรงต่อเวลา: อย่าเข้าสู่ระบบในนาทีสุดท้าย ควรเข้าสู่ระบบล่วงหน้าเพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่รับสมัครต้องรอ การแต่งกาย: แต่งกายให้เหมาะสม จัดห้องสัมภาษณ์ให้เรียบร้อย หลีกเลี่ยงผู้คนหรือสัตว์เลี้ยงที่ไม่จำเป็น และหลีกเลี่ยงสิ่งรบกวนระหว่างการสัมภาษณ์ เช่น ปิดโทรศัพท์หรือเปิดโหมดเครื่องบิน เนื่องจากเป็นการสัมภาษณ์ออนไลน์ ผู้ปกครองมักจะไม่ได้เข้าร่วมการสัมภาษณ์ด้วย แต่หากผู้ปกครองมีคำถาม สามารถติดต่อผู้สัมภาษณ์หลังจากเซสชันได้ หลังการสัมภาษณ์ อย่าลืมขอข้อมูลติดต่อของผู้สัมภาษณ์ ส่งจดหมายขอบคุณ และติดต่อกันเป็นระยะหลังจากนั้น
ผู้ปกครองควรถามอะไรในระหว่างการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัว? หากผู้ปกครองไม่ถนัดภาษาอังกฤษ โอกาสในการรับเข้าเรียนของลูกจะลดลงหรือไม่?
ในระหว่างการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัว ผู้ปกครองจะ: 1. ตอบคำถามใดๆ ที่โรงเรียนอาจมี และสอบถามคำถามที่ต้องการจากผู้สัมภาษณ์ 2. รับฟังสรุปและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการสัมภาษณ์ล่าสุดของบุตรหลานของท่านจากโรงเรียน พร้อมให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบุตรหลานที่โรงเรียนควรทราบ 3. ตอบคำถามอื่นๆ เช่น ความสนใจ จุดแข็งและจุดอ่อนของบุตรหลาน รวมถึงการสนับสนุนที่คาดหวังจากโรงเรียน 4. พูดคุยเกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงดูและแนวคิดทางการศึกษาในครอบครัว 5. เน้นจุดเด่นที่สำคัญที่สุดของบุตรหลาน 6. แสดงความมุ่งมั่นของผู้ปกครองที่มีต่อโรงเรียนและเหตุผลที่ต้องการให้บุตรหลานเรียนที่นี่ 7. อธิบายแผนของผู้ปกครองในการร่วมมือกับโรงเรียนหลังการเข้าเรียน หากภาษาอังกฤษของคุณไม่ดีพอ ให้บุตรหลานช่วยแปลได้ ซึ่งจะไม่ส่งผลต่อกระบวนการรับเข้าเรียน
กระบวนการสัมภาษณ์ที่แคมปัสเป็นอย่างไร? ข้อดีและข้อเสียของการสัมภาษณ์ in-person มีคืออะไรบ้าง?
การสัมภาษณ์ที่แคมปัสเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการสมัคร คิดเป็นโอกาสประมาณ 40%-50% ของความสำเร็จในการรับเข้าเรียน กระบวนการปกติประกอบไปด้วยการเยี่ยมชมแคมปัสประมาณ 30-45 นาที ในทัวร์ทั่วๆไปจะได้เยี่ยมชมอาคารเรียน หอพัก สนามเด็กเล่น และ สิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้คุยและถามคำถามกับเจ้าหน้าที่นำชม ตามด้วยการสัมภาษณ์นักเรียน และปิดท้ายด้วยการสัมภาษณ์ผู้ปกครองที่สำนักงานรับสมัคร ซึ่งใช้เวลาสัมภาษณ์โดยรวมประมาณหนึ่งชั่วโมง การสัมภาษณ์นักเรียนมีเป้าหมายเพื่อประเมินความเหมาะสมของผู้สมัคร ส่วนการสัมภาษณ์ผู้ปกครองอาจแตกต่างกัน ตามว่ามีผู้ช่วยแปลภาษาหรือไม่หรือไม่ หรือต้องการการแปลภาษาหรือไม่ การสัมภาษณ์บนในแคมปัสนั้นเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้สมัครในการทำความคุ้นเคยกับโรงเรียนและสร้างความประทับใจกับเจ้าหน้าที่นำชม และผู้สัมภาษณ์ หากผู้ปกครองไม่มีผู้ช่วยที่พูดภาษาอังกฤษได้ บุตรหลานสามารถช่วยแปลได้ แต่ควรเตรียมตัวและฝึกฝนล่วงหน้า
ในระหว่างสัมภาษณ์ หากเจ้าหน้าที่รับสมัครถามเกี่ยวกับโรงเรียนอื่นที่ฉันสมัคร ฉันควรตอบอย่างไร?
โดยทั่วไป น้อยมากที่โรงเรียนจะเชื่อว่าคุณยื่นสมัครเรียนเพียงแค่โรงเรียนเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียนจากประเทศจีน คำแนะนำของทางเราก็คือ คุณอาจจะยื่นสมัครเข้าเรียนเพียงไม่กี่แห่งแต่คุณต้องรู้จักโรงเรียนที่คุณพูดถึงเป็นอย่างดี โดยหลักการแล้ว นักเรียนควรเอ่ยถึง 2-3 โรงเรียนที่มีขนาดใกล้เคียงกันในขณะสัมภาษณ์ อย่างไรก็ตามถ้า เจ้าหน้าที่รับสมัครที่มีประสบการณ์ในการรับสมัครนักเรียนนานาชาติพวกเขาก็จะคุ้นเคยกับกลยุทธ์การสมัครของนักเรียนต่างชาติเป็นอยู่แล้วอย่างดี
การเตรียมพื้นฐาน
ฉันจะจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรให้ลูกได้อย่างไร? ครอบครัวควรพิจารณาทรัพยากรหรือปัจจัยอะไร และจะวางแผนกิจกรรมสำหรับเด็กที่ไม่มีเป้าหมายหรือความสนใจเฉพาะอย่างไร?
ตอนเป็นเด็กเล็กผู้ปกครองควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาความสนใจผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อที่จะได้ฟูมฟักความสนใจเป็นพิเศษและความปราถนาอย่างแรงกล้าของลูกในกิจกรรมต่างๆ แนะนำให้ใช้เวลาไปกับกิจกรรมเสริมหลักสูตร 1-2 อย่างที่พวกเขาสนใจมากที่สุด ในที่สุดก็จะค้นพบว่า เด็กส่วนใหญ่จะมีแนวโน้ม สนใจในด้านกีฬา มีทักษะความสามารถพิเศษ สนใจงานอาสาสมัครหรือให้บริการชุมชน ตลอดจนความเป็นผู้นำที่โดดเด่น ฯลฯ กิจกรรมนอกห้องเรียนมีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงให้เห็นถึงความความตั้งใจ ความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าหลงใหล บุคลิกภาพและความทุ่มเทของเด็กๆ เป็นมืออาชีพ ดังนั้น การทำกิจกรรมเพียงเพื่อวางแผนหรือปฏิบัติโดยปราศจากความสนใจของลูกที่แท้จริงไม่ใช่ทางเลือกที่ดี กิจกรรมเสริมนอกห้องเรียนควรสะท้อนถึงความสนใจของเด็ก โดยมีการสนับสนุนทรัพยากรและเวลาจากครอบครัว หากเด็กไม่มีความสนใจในกิจกรรมใดๆ ก็ยากที่จะมุ่งมั่นต่อไป การบังคับให้ทำกิจกรรมที่ไม่ชอบจึงมักไม่มีประโยชน์
ในโรงเรียนของภาครัฐโอกาสทำกิจกรรมเสริมนอกห้องเรียนมีไม่มาก ฉันควรเตรียมตัวอย่างไร?
คุณสามารถช่วยลูกลิสต์รายการกิจกรรมทั้งหมดที่เคยเข้าร่วม เช่น กิจกรรมด้านวิชาการ กีฬา ศิลปะ ฯลฯ จากนั้นเลือกกิจกรรมหนึ่งอย่างที่พวกเขาชอบหรือถนัดที่สุด ให้พวกเขาใช้เวลาพัฒนาทักษะในกิจกรรมนั้น ในตอนยื่นสมัครเรียน อาจส่งเป็นผลงานหรือวิดีโอเพื่อแสดงถึงศักยภาพของเด็ก นอกจากนี้นักเรียนสามารถแสดงบันทึกประสบการณ์ในแฟ้มประวัติ ผลงานที่จัดเป็นแฟ้มไว้แล้วให้กรรมการดู ในระหว่างสัมภาษณ์ ผู้ปกครองควรส่งเสริมลูกให้เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ กับทางโรงเรียน (เช่น คณะกรรมการโรงเรียน การร่วมกิจกรรมกีฬาสีของโรงเรียน เป็นต้น) และกิจกรรมในช่วงวันหยุด (การไปเป็นอาสาสมัครกับองค์กรต่างๆ กิจกรรมกับองค์กรบริการทางสังคม กิจกรรมระดมทุน นักเรียนฝึกงาน ฯลฯ) หากพวกเขามีความถนัดด้านศิลปะหรือกีฬาเป็นพิเศษ กระตุ้นให้พวกเขาขยันฝึกฝนและควรพิจารณาเข้าร่วมกิจกรรมในรูปแบบการแข่งขันต่างๆ และเมือตัดสินใจจะสมัครโรงเรียนมัธยมในสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการแล้ว ควรวางแผนเตรียมการสอบมาตรฐานทางวิชาการล่วงหน้า และรักษาระดับผลการเรียนให้อยู่ในเกณฑ์ดี นในโรงเรียนมัธยมของสหรัฐฯ กิจกรรมเสริมนอกห้องเรียนนั้นสำคัญแต่การทำคะแนนหรือเกรดเฉลี่ยให้อยู่ในระดับดีเลิศ ก็ยังเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการยื่นสมัครเข้าเรียนต่อในโรงเรียนที่อเมริกา
สืบเนื่องจากการระบาดของโควิด นักเรียนไม่สามารถออกไปทำกิจกรรมอาสาสมัครข้างนอกได้ โรงเรียน มีคำแนะนำอะไรสำหรับเด็กที่ไม่สามารถทำกิจกรรมอาสากลางแจ้งได้ในช่วงโรคระบาดโควิดเพื่อปรับปรุงประวัติการทำกิจกรรมเสริมนอกห้องเรียนให้ดียิ่งขึ้น
ก่อนที่จะแนะนำกิจกรรมเสริมนอกห้องเรียน โรงเรียนควรเข้าใจข้อมูลพื้นฐานของเด็ก เช่น อายุ เพศ โรงเรียน บุคลิกภาพ ฯลฯ รวมถึงความสนใจทางวิชาการและกิจกรรมเสริมในปัจจุบันของพวกเขา ตลอดจนความเป็นอยู่ทั่วไปของเด็ก ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้โรงเรียนจัดสรรกิจกรรมที่สอดคล้องและช่วยส่งเสริมศักยภาพของเด็กได้ การเลือกกิจกรรมควรพิจารณาจากความสนใจและความสามารถในการแข่งขันของเด็ก นอกจากกิจกรรมอาสากลางแจ้ง ยังมีกิจกรรมอื่นๆ เช่น กิจกรรมช่วยเหลือสังคมผ่านระบบออนไลน์ การเรียนคอร์สออนไลน์ต่างๆ หรือการเข้าร่วมการแข่งขันออนไลน์ เป็นต้น เพราะในปัจจุบันมีโครงการวิจัยและวิชาการจำนวนมากที่สามารถทำได้ทางออนไลน์
กิจกรรมอาสาสมัครแบบใดที่ช่วยเพิ่มคะแนนให้กับลูกในการสมัครเรียนโรงเรียนมัธยมในสหรัฐ?
ประเภทของกิจกรรมอาสาสมัครไม่ใช่หัวใจสำคัญ ยกตัวอย่างเช่น เด็กสามารถลองทำงานช่วยติวช่วยสอน การเป็นอาสาที่โรงพยาบาล อาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุที่บ้านพักคนชรา อาสาสมัครที่บ้านเด็กกำพร้า หรืออาสาสมัครทำงานที่พิพิธภัณฑ์ เช่น มัคคุเทศน์น้อย เป็นต้น หัวใจสำคัญจริงของงานอาสาสมัคร คือระยะเวลาที่ทำกิจกรรม ความสม่ำเสมอในการเป็นอาสาสมัคร ต้องเป็นความมุ่งมั่นในระยะยาว เช่น โครงการที่ดำเนินมา 1-2 ปี พร้อมการเข้าร่วมอย่างสม่ำเสมอจะดีกว่าการทำกิจกรรมเพียงไม่กี่ครั้ง การมีส่วนร่วมที่จริงจัง จะทำให้เห็นถึงความทุ่มเทการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพการเป็นผู้นำใน งานอาสาสมัครนั้นสำคัญกว่าการได้รับใบประกาศว่าผ่านกิจกรรมอาสา เพราะประเด็นสำคัญ คือ การแสดงให้เห็นถึง ความห่วงใย ความจริงใจในการทำงานอาสาเพื่อชุมชน และความเต็มใจที่จะอุทิศเวลาและความสามารถเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น สำคัญที่สุด
ฉันต้องเข้าร่วมกิจกรรมเสริมหลักสูตรที่ไม่ค่อยมีคนทำหรือไม่?
อีกครั้งทางเราต้องขอ ี่ย้ำว่า รูปแบบกิจกรรมไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะสิ่งที่สำคัญคือ คุณได้ลงมือทำกิจกรรมนั้นๆ คุณสามารถทำกิจกรรมอะไรก็ได้ที่เหมาะสมกับบุคลิกและความสนใจของคุณ ปัจจัยหลัก คือ เด็กได้ทำกิจกรรมนานแค่ไหนและเด็กได้เรียนรู้อะไรบ้าง ได้อะไรจากการทำกิจกรรมนั้น กิจกรรมเสริมนอกห้องเรียนต้องเน้นไปที่คุณภาพไม่ใช่ปริมาณ โรงเรียนที่เปิดรับสมัครนักเรียนต่างต้องการเห็นว่า นักเรียนที่เข้ามาสมัครเรียนที่โรงเรียนนั้น มีความเป็นเลิศด้านใดบ้าง และมีความเป็นผู้นำในกิจกรรมที่เขาทำมากแค่ไหน ไม่ใช่แสดงจำนวนกิจกรรมที่ทำ
ลูกของฉันได้รับประกาศนียบัตรและเหรียญจากกิจกรรมเสริมนอกห้องเรียน เราจะทำการส่งสิ่งเหล่านี้ไปให้โรงเรียนได้อย่างไร?
ประกาศนียบัตร หลักฐานความสำเร็จขั้นสูงที่สำคัญสามารถระบุไว้ในเอกสารการสมัคร และในกรณีจำเป็น สามารถรวบรวมเป็นไฟล์ภาพเพื่อส่งมอบไปด้วย รางวัลธรรมดาทั่วไปไม่จำเป็นต้องส่ง รวมถึงและการระบุถึงรายการรางวัลที่ยิบย่อยเกินไปอาจลดความน่าสนใจและความโดดเด่นของเด็กได้ ส่วนที่สำคัญที่สุดของการสมัครคือผลคะแนนการสอบมาตรฐานวิชาการ เรียงความของเด็ก จดหมายจากผู้ปกครอง (ที่เน้นจุดสำคัญและชัดเจน) การสัมภาษณ์ (ความสามารถทางภาษา บุคลิกภาพ การเขียน ทักษะการสื่อสาร มารยาทและการอบรมในครอบครัว) นอกจากนั้นคุณสามารถอัปโหลดไฟล์ดิจิทัลไปยังคอมพิวเตอร์ในท้องถิ่นแล้วส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศ เช่น YouTube เพื่อสำหรับอัปโลดเป็นวิดีโอหรือเพลง แล้วส่งลิงก์ต่อให้ทางโรงเรียนพิจารณา ต่อไป
ลูกของฉันกำลังจะเข้าสู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และอยากมีประสบการณ์การเรียนรู้ในต่างแดน ที่สหรัฐฯ ฉันควรให้ลูกเข้าร่วมค่ายฤดูร้อนหรือโครงการแลกเปลี่ยนไหม?
ค่ายฤดูร้อนมักมีระยะเวลาสั้น ตั้งแต่ 2 สัปดาห์ถึง 1 เดือนครึ่ง โดยทั่วไปจะไม่เป็นทางการและสะดวกสบาย มีโอกาสท่องเที่ยวและทำกิจกรรมในบริเวณค่าย ในทางกลับกัน ส่วนโครงการแลกเปลี่ยนมักมีระยะเวลายาวกว่า ครอบคลุมทั้งเทอม ผู้เข้าร่วมจะต้องเรียนหนังสือปกติในแต่ละวัน ซึ่งอาจท้าทายมากกว่าค่ายฤดูร้อน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโครงการ ผู้เข้าร่วมอาจมีโอกาสเที่ยวชมในพื้นที่ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ การเลือกว่าจะเข้าค่ายฤดูร้อนหรือโครงการแลกเปลี่ยนขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของเด็ก วิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือลองเริ่มจากค่ายฤดูร้อนก่อน เนื่องจากระยะเวลาสั้นและข้อกำหนดไม่เข้มงวด หากเด็กชอบ สามารถพิจารณาโครงการแลกเปลี่ยนที่เหมาะสมตามข้อกำหนดของโรงเรียนต่อไปได้
ค่ายโครงการฤดูร้อนเป็นอย่างไร มีบทบาทต่อการพัฒนาของลูกอย่างไร และฉันจะสมัครเข้าร่วมได้อย่างไร?
ค่ายโครงการฤดูร้อนสำหรับนักเรียนมัธยมในสหรัฐฯ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ 1. ค่ายของโรงเรียนประจำในสหรัฐฯ เช่น Andover, Hotchkiss, Choate, Webb ฯลฯ ซึ่งนักเรียนสามารถเลือกหลักสูตรตามความสนใจของตนเองได้ 2. ค่ายพิเศษถูดูร้อนขององค์กร เช่น CTY, Concord Review, Awesome Math ฯลฯ การที่นักเรียนเข้าร่วมค่ายโรงเรียนมัธยมหรือค่ายฤดูร้อนชนิดอื่นนับเป็นในสหรัฐฯ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่ดี ที่สามารถช่วยใน การสมัครโรงเรียนมัธยมได้ ค่ายโครงการฤดูร้อนนั้นสามารถสมัครทำได้ง่ายผ่านองค์กร Study-Abroad ตัวแทนที่ดูแลการศึกษาในต่างประเทศ สิ่งสำคัญคือต้องการสมัครตั้งแต่เนิ่นๆ เนื่องจากค่ายโครงการฤดูร้อนยอดนิยมมักเต็มอย่างรวดเร็ว โดยทั่วไปแนะนำให้นักเรียนเริ่มกระบวนการสมัครล่วงหน้าประมาณ 1-2 เดือน
สภาพแวดล้อมการเรียนในอเมริกา
คุณควรเลือกหลักสูตรมัธยมในอเมริกาอย่างไร ขึ้นอยู่กับความสนใจหรือเกรดเฉลี่ย? ถ้าเกรดเฉลี่ยสูงเป็นข้อได้เปรียบเสมอใช่หรือไม่?
สิ่งสำคัญเมือคุณเรียนมัธยมในอเมริกาคือ ต้องมีแผนการที่ดีและเกรดเฉลี่ยก็สำคัญมาก มหาวิทยาลัยในอเมริกาพิจารณาใน 2 ด้าน: ด้านนึงคือ แม้ว่าเกรดเฉลี่ยดีแค่ไหนก็ตาม สิ่งสำคัญคือความท้าทายในการเลือกวิชาที่จะเรียน ยกตัวอย่างเช่น ถ้านักเรียนเลือกที่จะลงเรียนแค่วิชาพื้นฐานง่ายๆ เพื่อจะทำให้เกรดเฉลี่ยสูงขึ้น โดยไม่มีการท้าทายตัวเองเลย มหาวิทยาลัยในอเมริกาจะไม่ให้น้ำหนักตรงนี้มากนักเพราะมันดูขาดความกระตือรือล้นที่จะเรียนรู้มากเกินไป สิ่งทีมหาวิทยาลัยต้องการเห็น คือ นักเรียนกล้าที่จะท้าทายตนเอง โดยเลือกคอร์สวิชาหรือหลักสูตร ที่เขาสนใจศึกษาจริงๆ โดยเริ่มจากระดับพื้นฐานไประดับกลางจนถึงระดับสูง ส่วนในอีกด้าน เมื่อหลักสูตรมีความท้าทายมากขึ้น ภาพรวมเกรดเฉลี่ยก็ควรเพิ่มขึ้น
โรงเรียนมัธยมในสหรัฐฯ มีวิชาบังคับมากหรือไม่? นักเรียนสามารถเลือกเรียนวิชาที่สนใจได้หรือไม่?
นักเรียนมัธยมในสหรัฐฯ แบ่งออกเป็นช่วงมัธยมต้น (เกรด 9 และ 10) และช่วงมัธยมปลาย (เกรด 11 และ 12) ในช่วงมัธยมต้นมีวิชาบังคับมากกว่า และความยืดหยุ่นในการเลือกวิชาน้อยกว่า เนื่องจากโรงเรียนต้องการวางรากฐานวิชาการที่มั่นคงในระยะแรก อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเกรด 11 และ 12 นักเรียนจะเริ่มมีความยืดหยุ่นและสามารถเลือกวิชาได้ตามความสนใจ โดยปกติในช่วงแรกนักเรียนต้องเรียน 5 วิชาหลัก: ภาษาอังกฤษ สังคมศาสตร์ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาต่างประเทศ รวมถึงวิชาศิลปะเพิ่มเติม เมื่อเข้าสู่ช่วงมัธยมปลาย นักเรียนยังคงต้องเรียนวิชาหลักเหล่านี้ แต่สามารถเลือกเรียนวิชาเฉพาะทางเพิ่มเติมได้ โรงเรียนมัธยมในสหรัฐฯ มุ่งเน้นการพัฒนานักเรียนให้รอบด้าน โดยมอบความยืดหยุ่นในระดับที่เหมาะสมเพื่อสนับสนุนความสนใจและความชอบส่วนตัว พร้อมกับการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งในช่วงต้น
นักเรียนต่างชาติในโรงเรียนมัธยมของสหรัฐฯ ควรเลือกเรียนภาษาอะไรเป็นภาษาที่สอง: ภาษาละติน ภาษาสเปน หรือภาษาฝรั่งเศส?
ในสหรัฐฯ โรงเรียนมัธยมส่วนใหญ่มักกำหนดให้นักเรียนต้องเรียนภาษาที่สองเพื่อสำเร็จการศึกษา ภาษาของนักเรียนต่างชาติสามารถนับเป็นภาษาที่สองได้เช่นกัน การเลือกภาษาเรียนขึ้นอยู่กับความสนใจส่วนตัวและผลประโยชน์ในอนาคตการสนับสนุนที่มีอยู่ ในสหรัฐฯ ภาษาสเปนเป็นภาษาที่สอง ที่พบมากที่สุด เนื่องจากมีผู้ใช้ภาษานี้จำนวนมาก การเรียนภาษาสเปนจึงมีประโยชน์ในด้านการทำงานในอนาคต นักเรียนส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ จึงมักเลือกเรียนภาษาสเปน ขณะที่ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน และภาษาอิตาลีมีผู้เรียนน้อยกว่า
นักเรียนต่างชาติใหม่ในโรงเรียนมัธยมของสหรัฐฯ จะสร้างปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนใหม่ได้อย่างไร?
การสร้างเพื่อนในสหรัฐฯ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักเรียนต่างชาติ สังคมอเมริกันถือว่าการมีเน็ตเวอร์ก การมีความสัมพันธ์ทางสังคมในสหรัฐฯ มีความสำคัญอย่างมาก และทักษะการเข้าสังคมที่ดีที่พัฒนาขึ้นในช่วงมัธยมสามารถสร้างประโยชน์ได้ตลอดชีวิต สิ่งสำคัญอีกอย่างคือการออกจากพืนที่ปลอดภัย Comfort Zone เพื่อที่จะพยายามทำความรู้จักกับเพื่อนนักเรียนทั้งในประเทศและต่างประเทศ การเรียนรู้มารยาททางสังคมของสหรัฐฯ เช่น การพูดคุยอย่างสุภาพและอย่างใจกว้าง จะช่วยสร้างความประทับใจครั้งแรกที่ดี นอกจากนี้การเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ในชมรมของโรงเรียนเป็นโอกาสที่ดีในการพบปะเพื่อนที่มีความสนใจเหมือนกัน การมีทัศนคติเปิดกว้างและการสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกจะช่วยให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ทางวิชาการและสังคมที่ดียิ่งขึ้น
โรงเรียนประจำในสหรัฐฯ มักมีวันหยุดกี่ครั้ง? นักเรียนควรใช้เวลาวันหยุดเหล่านี้อย่างไร?
โรงเรียนประจำในสหรัฐฯ มักมีวันหยุดดังนี้: - วันหยุดฤดูร้อน: ตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายนถึงปลายเดือนสิงหาคม มากกว่า 2.5 เดือน - วันหยุดคริสต์มาส: ประมาณ 2 สัปดาห์ - วันหยุดฤดูใบไม้ร่วง: ประมาณ 2 สัปดาห์ (หลังการสอบช่วงฤดูใบไม้ร่วง) - วันหยุดฤดูใบไม้ผลิ: ประมาณ 2 สัปดาห์ (หลังการสอบช่วงฤดูหนาว) - วันหยุดสุดสัปดาห์ยาว 3 ครั้ง (หนึ่งครั้งต่อเทอม) ครั้งละ 4-5 วัน โรงเรียนประจำส่วนใหญ่จะปิดในช่วงวันหยุดและกำหนดให้นักเรียนออกจากโรงเรียน บางโรงเรียนอาจอนุญาตให้นักเรียนอยู่ในโรงเรียนในช่วงบางส่วนของวันหยุดได้ นักเรียนต่างชาติส่วนใหญ่จะมีกิจกรรมหลากหลายในวันหยุด เช่น มักเดินทางกลับประเทศในช่วงวันหยุด หรือ เข้าร่วมค่ายโครงฤดูร้อน ฉลองคริสต์มาส เดินทางในประเทศ หรือเยี่ยมบ้านเพื่อน นอกจากนี้อาจเข้าร่วมทัวร์ของโรงเรียนหรือกลุ่มอาสาสมัคร ผู้ปกครองอาจเดินทางมาสหรัฐฯ ในช่วงวันหยุดเพื่อเยี่ยมลูก วางแผนท่องเที่ยวในสหรัฐฯ หรือยุโรป เยี่ยมชมมหาวิทยาลัย หรือใช้เวลากับครอบครัวชาวอเมริกัน โดยทั่วไปนักเรียนสามารถวางแผนกิจกรรมในวันหยุดได้เอง แต่ต้องแจ้งแผนต่อเจ้าหน้าที่โรงเรียนเพื่อขออนุมัติ หากนักเรียนไม่มีแผนกิจกรรมในวันหยุด ครูหรือครอบครัวอุปถัมภ์จะช่วยวางแผนให้
ประวัติการศึกษาต่อต่างประเทศของคนไทยและค่าใช้จ่าย
ค่าเล่าเรียนประจำปีสำหรับโรงเรียนเอกชนในสหรัฐฯ ราคาอยู่ที่เท่าไร?
ในโรงเรียนประจำเอกชนของสหรัฐฯ ค่าเล่าเรียนอาจแตกต่างกันไปตามโรงเรียน ด้านล่างนี้เป็นการสรุปค่าใช้จ่ายทั่วไป แต่ควรติดต่อสำนักงานรับสมัครของโรงเรียนเพื่อขอรายละเอียดเพิ่มเติม ค่าใช้จ่ายทั่วไปประกอบด้วย: - ค่าเล่าเรียนและค่าหอพัก: $60,000-80,000 ต่อปี - ประกันสุขภาพส่วนบุคคล: $1,000-2,500 (สำหรับนักเรียนต่างชาติ) - ค่าธรรมเนียมแรกเข้า: $200-2,000 (สำหรับนักเรียนใหม่) - ค่าธรรมเนียมนักเรียนต่างชาติ: $1,000-4,000 - ค่าธรรมเนียมเทคโนโลยี: $500-1,500 (บางครั้งรวมอยู่ในค่าเล่าเรียน) - ค่าหนังสือเรียน: $200-1,000 (บางครั้งรวมอยู่ในค่าเล่าเรียน) - ค่ารายการอาหาร: $1,000-3,000 (บางครั้งรวมอยู่ในค่าเล่าเรียน) - ค่าชุดยูนิฟอร์ม: $200-3,000 (บางครั้งรวมอยู่ในค่าเล่าเรียน) - ค่าซักรีด: $100-1,000 (บางครั้งรวมอยู่ในค่าหอพัก) ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่เป็นตัวเลือกอาจรวมถึงประกันการคืนค่าเล่าเรียน เงินมัดจำแรกเข้า ค่าธรรมเนียมการใช้สิ่งอำนวยความสะดวก ค่ากิจกรรมนอกหลักสูตร คอร์ส ESL หรือ SAT ค่าธรรมเนียมสอบ AP ค่ากิจกรรมสุดสัปดาห์ เงินมัดจำหอพัก และค่าใช้จ่ายส่วนตัวของนักเรียนในวิทยาเขต
ฉันจำเป็นต้องบริจาคเงินให้กับกองทุนบริจาคของโรงเรียนเอกชนในสหรัฐฯ หลังจากได้รับการตอบรับหรือไม่? การบริจาคเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ปกครองหรือนักเรียนหรือเปล่า? หากไม่บริจาคจะมีปัญหาอะไรหรือไม่?
การบริจาคให้กับกองทุนบริจาคของโรงเรียนไม่ใช่ข้อบังคับ เช่นเดียวกับที่จำนวนเงินบริจาคไม่มีการกำหนดขนาดเงินบริจาค การบริจาคนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่กำหนดไว้ล่วงหน้า แต่เป็นการบริจาคตามความประสงค์ของผู้บริจาค ผู้บริจาคสามารถบริจาคได้ตั้งแต่ไม่กี่ร้อยดอลลาร์ไปจนถึงหลายแสนดอลลาร์ต่อปี ผู้ปกครองควรพิจารณาสถานะทางการเงินของครอบครัวเมื่อจะทำการบริจาค โรงเรียนประจำพึ่งพาการบริจาคเหล่านี้อย่างมาก ซึ่งช่วยส่งเสริมสวัสดิการของนักเรียน การเคารพวัฒนธรรมเก่าแก่ของโรงเรียนเช่นนี้และการมีส่วนร่วมเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ดียิ่งขึ้นสำหรับนักเรียนคนรุ่นถัดไปถือเป็นสิ่งสำคัญ
แบบสำรวจ
เปรียบเทียบโรงเรียน()
()